วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของผลไม้

ลองกอง

                          ลองกอง ชื่อสามัญ Longkong ลองกอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium domesticum Corr. จัดเป็นพืชที่อยู่ในชนิดเดียวกันกับลางสาด และลูกู หรือ ดูกู (Duku) โดยจัดอยู่ในวงศ์ MELIACEAE เช่นเดียวกับกระท้อน กัดลิ้น ตะบูนขาว ตะบูนดำ และสะเดา นอกจากนี้ลองกองยังมีชื่ออื่นอีก คือ ลังสาดเขา (นครศรีธรรมราช) ส่วนชื่อลองกองนั้นมาจากชื่อพื้นเมืองจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี[1],[2]
                          

ผลไม้ลองกอง    ผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในหมู่เกาะชวา เกาะมลายู ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของประเทศไทย ในจังหวัดนราธิวาส และยังมีในประเทศทางแถบซูรินัม เปอร์ติริโก ออสเตรเลีย และฮาวาย โดยประเทศไทยสามารถผลิตลองกองที่มีคุณภาพได้ดีที่สุด เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมในการปลูกที่เหมาะสม แต่พื้นที่ที่สามารถทำการปลูกลองกองได้ยังมีจำกัด ทำให้มีผลผลิตน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด จึงทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีราคาสูง และจัดได้ว่าเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกชนิดชนิดหนึ่ง โดยแหล่งเพาะปลูกลองกองในประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้ รองลงมาคือภาคตะวันออก ส่วนภาคเหนือและภาคกลางก็มีปลูกอยู่บ้างเล็กน้อย





 สายพันธุ์ลองกอง
                           พันธุ์ลองกอง ในประเทศไทยมีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง โดยสายพันธุ์ลองกองที่สามารถรวบรวมได้ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 7 สายพันธุ์ได้แก่ ลองกองทั่วไป, ลองกองแกแลแมร์ (ลองกองแปรแมร์), ลองกองคันธุลี, ลองกองธารโต, ลองกองไม้, ลองกองเปลือกบาง, และลองกองกาญจนดิษฐ์ ซึ่งในแต่ละสายพันธุ์นั้นสามารถแบ่งลองกองออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ลองกองแห้ง (เนื้อใสแห้ง รสหวานกลิ่นหอม เปลือกเหลืองคล้ำและไม่มียาง), ลองกองน้ำ (เนื้อฉ่ำน่ำ สีเปลือกเหลืองสว่าง), และลองกองกะละแม (แกแลแม, ปาลาเม, แปรแมร์) (เนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอม เปลือกบางและมียางเล็กน้อย) โดยลองกองแห้งจะเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในการปลูกเป็นการค้ามากที่สุด เนื่องจากเป็นชนิดที่มีผลคุณภาพดี เนื้อมีรสหวานหอม มีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเลย และเมล็ดยังไม่ขมอีกด้วย ดังนั้นสายพันธุ์ของลองกองจึงควรจะมีเพียงสายพันธุ์เดียว เพราะเป็นประโยชน์ในการค้าไม่จำเป็นต้องแยกชนิดพันธุ์ เพราะคุณภาพนั้นเป็นที่ยอมรับของตลาดอยู่แล้ว

ลักษณะของกอง

  • ต้นลองกอง ในส่วนของลำต้นไม่กลมนัก มักมีสันนูน และรอยเว้าอยู่บ้าง ผิวเปลือกค่อนข้างหยาบ ไม่เรียบ แตกกิ่งแขนงภายในเป็นทรงพุ่มไม่กลมตรง มีแอ่งเว้าตามรอยของง่ามกิ่งและตามลำต้นให้เห็นเป็นระยะ ลักษณะเป็นรอยสูงต่ำ เป็นคลื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ปลูกด้วย ถ้าหากปลูกภายใต้ร่มเงาทึบหรือมีไม้อื่นมาก ลำต้นก็จะสูงชะลูดและผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบ แต่ถ้าปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงาน้อย ลำต้นมักจะแผ่เป็นพุ่มกว้างๆ และมีผิวเปลือกที่หยาบ ขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งวิธีการเพาะเมล็ด การทาบกิ่ง การต่อกิ่ง หรือการเสียบยอดและเสียบข้าง และวิธีการติดตา






  • รากลองกอง ระบบของรากลองกองจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์ที่ทำการเพาะปลูก แต่โดยทั่วไปแล้วรากแขนงของลองกองจะมีขนาดใหญ่และหยาบ เจริญแผ่ไปทางแนวราบของผิวหน้าดิน เมื่อต้นมีอายุมากจะมองเห็นรากส่วนนี้แยกจากโคนต้นที่ติดดินได้ชัดเจน และต่อจากรากแขนงจะเป็นรากฝอย ซึ่งทำหน้าที่ในการดูดซับน้ำและอาหาร เจริญแผ่ไปตามหน้าดินตื้นๆ
  • ใบลองกอง ใบเป็นใบรวมมี 5-9 ใบย่อย ใบกว้างประมาณ 2-6 นิ้ว และยาวประมาณ 4-8 นิ้ว และมีก้านใบย่อย ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ดำเป็นมัน และมีรอยหยักเป็นคลื่นหนากว่าใบของลางสาดผิวใบด้านบนจะเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง ลักษณะของใบเป็นแบบ elliptical โดยมีปลายใบเรียวแหลม ส่วนโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ลักษณะของเส้นใบเป็นแบบแยกออกจาเส้นกลางใบเหมือนร่างแห โดยเส้นใบด้านใต้ท้องใบของลองกอง จะเรียวเล็กนูน คมชัดกว่าใบของดูกูน้ำ


  • ดอกลองกอง ตาดอกมีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง มีสีน้ำตาลอมเขียว มีความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร โดยส่วนนี้จะเจริญเป็นช่อดอกยาวเรียกว่า Spike ซึ่งอาจจะพบเป็นช่อดอกแบบเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-10 ช่อดอก โดยจะแตกออกตามลำต้นและกิ่งที่สมบูรณ์ ดอกลองกองเมื่อบานจะมีสีเหลืองนวล มีกลีบเลี้ยงลักษณะอวบ สีเขียว และจะติดอยู่จนกระทั่งผลแก่ ดอกมีเกสรตัวผู้เป็นท่อสั้นๆ อยู่ 10 อัน ฐานหลอมรวมกัน ส่วนการบานของดอกโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มจากบริเวณ 2 ใน 3 ของช่อดอกจากปลายช่อ บานลงมาถึงโคนช่อ จากนั้นจะเริ่มบานขึ้นไปถึงปลายช่อ


  • ผลลองกอง ออกผลเป็นช่อแน่นติดกับก้านช่อ ลักษณะของผลมีทั้งทรงกลมและทรงยาวรี ซึ่งการที่มีผลในช่อแน่น อาจทำให้รูปทรงของผลแตกต่างกันออกไป ส่วนลักษณะของเปลือกจะหนากว่าลางสาดอยู่มาก เนื้อในผลมีรสหวานหอม[1]






สรรพคุณลองกอง

  1. เมล็ดลองกองมีสารสำคัญที่ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (เมล็ด)
  2. ช่วยลดความร้อนในร่างกาย หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และยังช่วยลดอาการร้อนในช่องปากได้ด้วย (เนื้อลองกอง)
  3. ลองกอง สรรพคุณของเมล็ดรักษาอาการไข้ (เมล็ด)
  4. มีการนำเปลือกต้นมาสกัดเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย (เปลือกต้น)
  5. ใบลองกอง สรรพคุณมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียได้ถึง 50% (ใบ) เมล็ดมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาเรียและยับยั้งการเจริญของปาราสิตมาลาเรีย (Plasmodium falciparum) ได้ถึง 50% (เมล็ด)
  6. เปลือกผลนำไปตากแห้ง แล้วเผาให้เกิดควันใช้สูดดมเพื่อช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค (เปลือกผล)[3]
  7. น้ำจากผลมีการนำไปใช้หยอดตาเพื่อช่วยรักษาอาการตาอักเสบ (น้ำจากผล)
  8. เปลือกต้นลองกอง สามารถนำมาใช้เป็นยาต้มกินเพื่อช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ได้ (เปลือกต้น)
  9. สรรพคุณของลองกอง ใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะ (กิ่ง)
  10. ใช้ในการรักษาอาการท้องเสีย และอาการลำไส้เกร็ง (เมล็ด)
  11. เปลือกต้นและใบใช้เป็นยาต้มสำหรับรักษาโรคบิด (เปลือกต้น,ใบ)
  12. ในเปลือกมีสารประเภท Oleoresin จำนวนมาก จึงมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง อาการปวดท้อง (เปลือกผล)
  13. เมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิ (เมล็ด)
  14. สารสกัดจากเปลือกต้นสามารถช่วยแก้พิษแมงป่องได้ (เปลือกต้น)
  15. ใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกต้น)[1] ส่วนเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน (เมล็ด)

อ้างอิงเว็บไซต์ http://frynn.com


ประโยชน์ขององุ่น

องุ่น

องุ่น ชื่อสามัญ Grape, Grape vine
องุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Vitis vinifera L. และมีชื่ออื่นๆ ว่า ผูเถา (จีนกลาง), ผู่ท้อ (จีนแต้จิ๋ว) เป็นต้น โดยจัดอยู่ในวงศ์ VITACEAE (VITIDACEAE) เช่นเดียวกับดาดตะกั่วเถา เพชรสังฆาต


ลักษณะของต้นองุ่น

  • ต้นองุ่น จัดเป็นพรรณไม้เลื้อยจำพวกเถา มีความยาวได้ประมาณ 10 เมตร ทั้งต้นมีขนปกคลุม เถาอ่อนผิวเรียบ ตามข้อเถามีมือสำหรับยึดเกาะ และมีขนปกคลุมทั้งต้น ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด





  • ใบองุ่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปกลมรี กลมรี หรือกลมรูปไข่ มีหยักคล้ายรูปฝ่ามือ หนึ่งใบจะมีรอยเว้าประมาณ 3-5 รอย ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเข้าหากันเป็นรูปหัวใจ ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย เนื้อใบบาง ใต้ใบมีขนปกคลุม ความยาวและความกว้างของใบมีขนาดพอๆ กัน คือกว้างยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนก้านใบนั้นยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร



     
  • ดอกองุ่น ออกดอกเป็นช่อตรงข้ามกันใบ ลักษณะกลมยาวใหญ่ ดอกย่อยเป็นสีเหลืองอมสีเขียว แบ่งเป็น 5 กลีบย่อย แตกออกเป็นแฉก 5 แฉก มีรังไข่ 2 อัน ในแต่ละรังไข่จะมีไข่อ่อน 2 เมล็ด ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านเกสรเพศผู้จะมีขนาดยาว ส่วนก้านเกสรเพศเมียสั้น กลม เมื่อดอกโรยจะติดผล


  
  • ผลองุ่น ออกผลเป็นพวง ผลย่อยมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือกลมรีเป็นรูปไข่ ผลเป็นสีเขียว สีม่วงแดง หรือสีม่วงเข้ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ที่ปลูก เปลือกผลจะมีผงสีขาวเคลือบอยู่ เนื้อในผลขององุ่นจะฉ่ำน้ำ ภายในมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดองุ่นเป็นรูปยาวรี















สรรพคุณขององุ่น

  1. ผลมีรสหวาน เปรี้ยวเล็กน้อย เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อปอ ม้าม และไต ใช้เป็นบำรุงโลหิต 
  2. ผลมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง ให้ใช้ผลองุ่นแห้งและโสม อย่างละ 3 กรัม นำมาแช่ในเหล้าประมาณ 1 คืน แล้วนำมาทาบริเวณฝ่ามือและแผ่นหลัง 
  3. ช่วยลดความดันโลหิตสูง 
  4. ช่วยลดไขมันในเลือด ด้วยการใช้เมล็ดองุ่นนำมาบดให้เป็นผงแห้ง บรรจุแคปซูลกิน 1-2 เม็ด เช้าและเย็น (เมล็ด)
  5. ผลมีสรรพคุณช่วยต้านมะเร็ง 
  6. ผลนำมาคั้นเอาน้ำรับประทาน จะช่วยแก้อาการหงุดหงิดได้
  7. ช่วยแก้หัวใจเต้นผิดปกติ แก้เหงื่อออกไม่รู้ตัว เหงื่อออกเนื่องจากหัวใจไม่ปกติ 
  8. ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้เลือดน้อย โลหิตจาง 
  9. เถาและใบมีรสชุ่มฝาด สุขุม มีสรรพคุณเป็นยาแก้ตาแดง (เถาและใบ)
  10. ช่วยแก้อาการไอ ไอเรื้อรัง 
  11. ใช้รักษาอาการอาเจียนเป็นเลือด ด้วยการใช้รากองุ่นสด รากหญ้าคา รากไวเช่า รากบัวหลวง ใบสนแผง (สนหางสิงห์) และดอกแต้ฮวย อย่างละ 15 กรัม และเนื้อสัตว์นำมาต้มกับน้ำกิน 
  12. ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำรับประทานแก้กระหายน้ำ หรือใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ แล้วใช้ภาชนะที่ปั้นด้วยดินเผา เคี่ยวผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย เก็บไว้กินทีละน้อย 
  13. น้ำมันที่ได้จากเมล็ดเมื่อนำมากินก่อนหรือพร้อมอาหาร จะสามารถลดกรดที่มีมากเกินไปในกระเพาะอาหารได้ (น้ำมันจากเมล็ด)
  14. น้ำมันจากเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาระบาย (น้ำมันจากเมล็ด)
  15. องุ่นแห้งมีสรรรพคุณช่วยหล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ (ผลแห้ง)
  16. ใบใช้เป็นยารักษาบิดในวัวควาย (ใบ)
  17. ช่วยบำรุงครรภ์ ครรภ์รักษา 
  18. ราก เถา และใบ มีรสชุ่ม ฝาด เป็นยาสุขุม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด (ราก,เถา,ใบ)] ส่วนผลก็มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะเช่นกัน 
  19. ผลมีสรรพคุณแก้ปัสสาวะขัด เจ็บ มีเลือดออก ด้วยการใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ และน้ำต้มรากบัวหลวง น้ำต้มจากโกฐขี้เถ้า น้ำผึ้ง นำไปต้มกินครั้งละ 2 ถ้วยชา 
  20. ผลมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคหนองใน ให้ใช้ผลสดนำมาคั้นเอาน้ำ และน้ำต้มรากบัวหลวง น้ำต้มจากโกฐขี้เถ้า น้ำผึ้ง นำไปต้มกินครั้งละ 2 ถ้วยชา 
อ้างอิงเว็บไซต์ http://frynn.com

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานี

           


             อุดรธานี เป็นจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการท่องเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และยังเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและมีหัตถกรรมผ้าขิตที่มีชื่อเสียงอีกด้วย จังหวัดอุดรธานีมีเนื้อที่ประมาณ 11,730 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 20 อำเภอ คือ อำเภอเมืองอุดรธานี อำเภอหนองวัวซอ อำเภอหนองหาน อำเภอบ้านผือ อำเภอบ้านดุง อำเภอกุมภวาปี อำเภอโนนสะอาด อำเภอเพ็ญ อำเภอน้ำโสม อำเภอกุดจับ อำเภอศรีธาตุ อำเภอวังสามหมอ อำเภอทุ่งฝน อำเภอสร้างคอม อำเภอไชยวาน อำเภอหนองแสง อำเภอนายูง อำเภอพิบูลย์รักษ์ อำเภอกู่แก้ว และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม





                   สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุดรธานี ที่น่าสนใจ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง

ตั้งอยู่ที่บ้านเชียงตำบลบ้านเชียงเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และภูมิภาคเอเซียอาคเนย์กรมศิลปากรได้ทำการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงระหว่างปี พ.ศ. 2517-2518 จากการศึกษาหลักฐาน ต่างๆ ที่พบทำให้บ้านเชียงเป็นแหล่งโบร าณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีอายุราว 1822-4600 โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้จดทะเบียนให้แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเป็นมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ เมื่อเดือนธันวาคม 2535 ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย ภายในพิพิธภัณฑฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเข้า อยู่ในบริเวณวัดโพธิ์ศรีใน เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นนิทรรศการถาวร ซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดินเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาถึงการขุดค้นทางโบราณคดี และโบราณวัตถุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาชนะเผาที่ฝังรวมกับศพ
ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเข้า เป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราว และวัฒนธรรมของบ้านเชียงในอดีต ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่แสดงถึงเทคโนโลยีในสมัยโบราณรวมทั้งโบราณวัตถุ และนิทรรศการบ้านเชียงที่เคยจัดแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้น ภายในบริเวณอาคารส่วนที่ 2 ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยาย ฉายภาพยนตร์ ภาพนิ่ง และการให้บริการการศึกษาต่าง ๆ การเดินทาง ไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงนั้นสะดวกมาก เนื่องจากอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 55 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 22 เส้นอุดรธานี-สกลนคร ตรงกิโลเมตรที่ 50 ก็จะถึงปากทางเข้าบ้านปูลู จะเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์ทางด้านซ้ายมือ
เวลาเปิด-ปิด  : พิพิธภัณฑ์ฯเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
อัตราค่าเข้าชม : ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท

 สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุดรธานี    ศาลหลักเมือง อุดรธานี
                     
        ศาลหลักเมืองอุดรธานี หรือเรียกว่าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอุดรธานี เป็นศูนย์รวมความเคารพและความศรัทธา ซึ่งชาวเมืองอุดรธานีมักจะมาสักการะบูชา ในบริเวณศาลหลักเมืองอุดรธานี ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญอื่นๆ อันเป็นที่เลื่อมใสบูชาเป็นอย่างสูงได้แก่ หลวงพ่อพระพุทธโพธิ์ทอง และ ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นสิริมงคลในแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป ตามประวัติกล่าวว่า ศาลหลักเมืองอุดรธานีนั้นสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2502 โดยได้อัญเชิญดวงพระวิญญาณของ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานีขึ้นเมื่อพ.ศ. 2436 มาสถิตย์ ณ เสาหลักเมืองนี้ด้วย องค์เสาหลักเมืองทำขึ้นด้วยไม้คูณยาว 5 เมตรเศษ และฝังลึกลงไป 3 เมตร มีการบรรจุแผ่นยันต์และแก้วแหวน เงิน ทองต่างๆ เป็นจำนวนมากไว้ใต้ฐานเพื่อเป็นสิริมงคล ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการสร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่แทนหลังเดิมที่ทรุดโทรมไป ตัวอาคารของศาลหลักเมืองจะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ผสมผสานศิลปะแห่งภาคอีสาน ให้เป็นที่สักการะขอพรของชาวอุดรธานีสืบมา นอกจากนี้บริเวณศาลหลักเมืองยังมีรูปปั้นท้าวเวสสุวัณ 1 ใน 4 ของท้าวจตุโลกบาลผู้ปกครองเหล่าอสูร และศาลหลักเมืองหลังใหม่ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ามาสักการะศาลหลักเมืองอุดรธานีนั้น สามารถบูชาและกราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ได้ในหนเดียว



  สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุดรธานี สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม

            อยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี หนองประจักษ์เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า หนองนาเกลือ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น หนองประจักษ์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรธานี ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เทศบาลเมืองอุดรธานี ได้ทำการปรับปรุงหนองประจักษ์ขึ้นใหม่ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริเวณตัวเกาะกลางน้ำได้จัดทำสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด และทำสะพานเชื่อมระหว่างเกาะมีน้ำพุ หอนาฬิกา และสวนเด็กเล่น แต่ละวันจะมีประชาชนเข้าไปพักผ่อน และออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก



 สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุดรธานี บ้านคำชะโนด


         ตั้งอยู่ที่ตำบลวังทอง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอบ้านดุง มีพื้นที่ราว 20 ไร่ ซึ่งมีน้ำล้อมรอบสภาพคล้ายเกาะ มีดงต้นปาล์มชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ เรียกว่า ต้นชะโนด คนสมัยเรียกที่นี่ว่า “วังนาคินทรคำชะโนด” เชื่อกันว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กลางดงเป็นประตูสู่เมืองบาดาล เป็นที่อยู่อาศัยของพญาสุทโธนาค ที่แปลกคือในดงชะโนดมีน้ำซับน้ำซึมอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เคยมีน้ำท่วมเลย  การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 22 (อุดรธานี-สกลนคร) เลี้ยวซ้ายที่บ้านหนองเม็ก ไปทางอำเภอบ้านดุง อีก 9 กิโลเมตร ถึงบ้านคำชะโนด


                               สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดอุดรธานี  อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท



               ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,430 ไร่ ในเขตบ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 2 เส้นอุดรธานี-หนองคาย ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 13 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 ไปทางอำเภอบ้านผือ ระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร แยกขวาประมาณ 500 เมตร และตรงไปตามเส้นทางหมายเลข 2348 อีกประมาณ 12 กิโลเมตร มีแยกขวาเป็นทางเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร
            



             

               อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่ซึ่งแสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศซึ่งมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นหินทรายที่ถูกขัดเกลาจากขบวนการกัดกร่อนทางธรรมชาติทำให้เกิดเป็นโขดหินน้อยใหญ่รูปร่างต่าง ๆ กัน ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับชีวิตผู้คนในอดีตที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ พระพุทธบาทบัวบก ตั้งอยู่บริเวณทางแยกซ้ายมือก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2463-2477 คำว่า “บัวบก” เป็นชื่อของพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นตามป่า มีหัว และใบคล้ายใบบัว ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า ผักหนอก บัวบกนี้คงจะมีอยู่มากในบริเวณที่พบรอยพระพุทธบาท จึงเรียกรอยพระพุทธบาทนี้ว่า “พระพุทธบาทบัวบก” หรือคำว่าบัวบกอาจจะมาจากคำว่า บ่บก ซึ่งหมายถึง ไม่แห้งแล้ง รอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นแอ่งลึกประมาณ 60 เซนติเมตพื้นหินยาว 1.93 เมตร กว้าง 90 เซนติเมตร เดิมมีการก่อมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทไว้ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2465 พระอาจารย์ศรีทัตย์ สุวรรณมาโจ ได้รื้อมณฑปเก่าออกแล้วสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ และยังสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองวางทับรอยพระพุทธบาทเดิมไว้ ภายในพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตัวองค์เจดีย์เป็น


           ทรงบัวเหลี่ยมคล้ายองค์พระธาตุพนม มีงานนมัสการพระพุทธบาทบัวบกในวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี
พระพุทธบาทหลังเต่า ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระพุทธบาทบัวบก มีลักษณะเป็นรอยพระบาทสลักลึกลงไปในพื้นหิน ลึกประมาณ 25 เซนติเมตร ใจกลางพระบาทสลักเป็นรูปดอกบัว กลีบแหลมนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากพระพุทธบาทแห่งนี้อยู่ใกล้กับเพิงหินธรรมชาติรูปร่างคล้ายเต่า จึงได้ชื่อว่า พระพุทธบาทหลังเต่า
ถ้ำ และเพิงหินต่าง ๆ ตั้งกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณอุทยานฯ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ในระยะทางไม่ไกลนัก ได้แก่ ถ้ำลายมือ ถ้ำโนนสาวเอ้ ถ้ำคน ถ้ำวัวแดง (ซึ่งถ้ำเหล่านี้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่พำนักของมนุษย์สมัยหิน และมนุษย์เหล่านั้นได้เขียนรูปต่าง ๆ ไว้ เช่น รูปคน รูปมือ รูปสัตว์ และรูปรายเรขาคณิต) นอกจากนั้นยังมีลานหินที่สวยงาม คือ ลานหินโนนสาวเอ้ ธรรมชาติได้สร้างเพิงหินต่าง ๆ ไว้ ทำให้มนุษย์รุ่นหลัง ๆ ได้จินตนาการผูกเป็นเรื่องตำนานพื้นบ้าน คือ เรื่อง นางอุสา-ท้าวบารส เพิงหินที่สวยงามเหล่านี้ ได้แก่ คอกม้าท้าวบารส หอนางอุสา บ่อน้ำนางอุสา นอกจากนั้นยังพบชิ้นส่วนหลักเสมา และหินทรายจำหลัก พระพุทธรูปศิลปะสมัยทวาราวดี ที่เพิงหินวัดพ่อตา และเพิงหินวัดลูกเขย ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะมีดอกไม้เล็ก ๆ ขึ้นอยู่ตามพื้นที่ชุ่มชื้นบริเวณลานหินเหล่านี้
ภายในบริเวณอุทยานฯ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ให้บริการข้อมูลของอุทยานฯ รวมทั้งแผนที่ และเส้นทางเดินเที่ยวชมบริเวณ
เวลาเปิด-ปิด : อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00-16.30 น.
อัตราค่าเข้าชม :  นักท่องเที่ยว ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ  100 บาท

อ้างอิง http://www.tlcthai.com/travel/5923/สถานที่ท่องเที่ยว.html